Escolar Documentos
Profissional Documentos
Cultura Documentos
(Psychometric Chart)
ทำควำมเข้ำใจแผนภู มไิ ซโครเมตริก (Psychometric Chart)
อำจหำญ ณ นรงค ์
แผนกวิศวกรรมและซ่อมบำรุง
ั โยโกฮำม่ำ ไทร ์ แมนู แฟคเจอริง่ (ประเทศไทย) จำกัด
บริษท
1
ควำมสำคัญของอำกำศและกำรใช้งำน
่ าทุกคนคงจะรู ้จักอากาศ (Air) กันเป็ นอย่างดี อากาศมีอยูท
เชือว่ ่ ุก ๆ
่
ทีเราทุกคนใช ้อากาศในการหายใจ
อากาศเป็ นตัวช่วยในการติดไฟของเชือเพลิ ้ ่
งในการหุงต ้มหรือในเครืองยนต ์หรือ
เครืองจั่ กรต่าง ๆ ในงานด ้านวิศวกรรมและการผลิต
อากาศถูกนามาใช ้ประโยชน์ในกระบวนการต่าง ๆ มากมาย
ดังนั้นจึงเป็ นสิงจ ่ าเป็ นอย่างยิงที
่ ผู
่ ท้ เกี
่ี ยวข
่ ้ ้อง
้องกับงานด ้านนี จะต
่
มีความรู ้เกียวกั บคุณสมบัต ิ
รายละเอียดตลอดจนธรรมชาติของอากาศซึงถ ่ ้าเราจะอธิบายกันแบบลอย ๆ
นั้นก็ยากทีจะเข ่ ้าใจแผนภูมิ (Chart)
หนึ่ งทีจะน่ ามาอธิบายคุณสมบัตข ิ องอากาศได ้ดีก็คอื แผนภูมไิ ซโครเมตริก
(Psychometric Chart)
่
ซึงในแผนภู มด
ิ งั กล่าวจะรวบรวมความสัมพันธ ์ระหว่างตัวแปรต่าง ๆ
ของอากาศให ้ง่ายต่อการเข ้าใจในรายละเอียด
2
รู ปที่ 2 การควบคุมอุณหภูมแิ ละความชืนในห
้ ้องปร ับอากาศ
1. ควำมชืน ้ (Humidity)
้
เราอาจได ้ยินคาเหล่านี มาบ ้างแล ้ว เช่น อากาศชืน้ (Moist Air) หรืออากาศแห ้ง (Dry
Air) แต่บางทีเราอาจไม่เขา้ ใจว่าความหมายทีแท ่ ้จริงของคาเหล่านี ว่้ ามันคืออะไร
เรารู ้ว่าก่อนฝนตกอากาศจะร ้อนอบอ ้าวจนเรารู ้สึกอึดอัด
หรือในหน้าหนาวผิวหนังของเราจะแห ้งจนแตกหรือผ้าทีเราตากไว ่ ้จะแห ้งเร็วกว่า ปกติทง้ั ๆ
่ ณหภูมข
ทีอุ ิ องอากาศต่า
้
ทังหมดที ่ บยกมาเป็ นตัวอย่างเบืองต
หยิ ้ ้นนั้นเกียวกั
่ ้ งสิ
บความชืนทั ้ น้
่ าวมาแล ้วตังแต่
ดังทีกล่ ้ ข ้างต ้นว่าความชืนคื ้ อจานวนไอนาที ้ ปนอยู
่ ใ่ นอากาศ จากรูปที่ 3
ถ ้าเราเอาอากาศจานวนหนึ่ งมากาจัดความชืนออกให ้ ้หมดเราจะเรียกอากาศทีไม่ ่ มี
ไอนาเจื ้ อปนอยูว่ า่ “อากาศแห ้ง (Dry Air)” ดังรูปที่ 3ก จากนั้นถ ้าเราค่อย ๆ
ปล่อยไอนาข ้ ้าไปในอากาศดังกล่าวเรือย ่ ๆ ดังรูปที่ 3ข
่
เมืออากาศมี ้
ไอนาผสมอยู เ่ ราเรียกอากาศนั้นว่า “อากาศชืน” ้
่
ซึงหมายถึ งอากาศทีมี ่ ไอนาปะปนอยู
้ ่
ซึงก็่ เหมือนกับอากาศในบรรยากาศบนโลกของเรานั่นเอง
ในตอนแรกทีเราเริ ่ ่
มปล่ อยไอนาเข้ ้าไปผสมปะปนกับอากาศนั้นปริมาณไอนาในอากาศ ้
จะมีนอ้ ย อากาศจะสามารถรองร ับไอนาจ ้ านวนดังกล่าวไว ้ได ้
่ มาณไอนาเพิ
แต่เมือปริ ้ มไปถึ
่ งจุดหนึ่ งทีอากาศไม่
่ สามารถรองร ับปริมาณไอนา้
ดังกล่าวไว ้ได ้ ไอนาส่ ้ วนทีเกิ ่ นก็จะเริมกลั
่ ่ วกลายเป็ นหยดนา้ ซึงเราจะเรี
นตั ่ ยกว่า
่ ้ ่
“จุดอิมตัวของไอนาในอากาศ” หรือเรียกอากาศทีจุดนี ว่า “อากาศอิมตัว (Saturated้ ่
Air)” ซึงก็ ่ คอื สภาวะทีอากาศไม่่ สามารถทีจะดู ่ ดซ ับไอนาไว ้ ้ในตัวมันได ้อีกแล ้ว
ในแผนภูมไิ ซโครเมตริกเส ้นอากาศอิมตั ่ ว (Saturated Air Line)
คือเส ้นโค ้งทีอยู่ ท ่ างด ้านซ ้ายของแผนภูมไิ ซโครเมตริก ดังรูปที่ 4
3
เช่น สภาวะหนึ่ งมีไอนาอยู
้ ใ่ นอากาศ 8 กรัมต่อปริมาตรอากาศ 1 m3
โดยทีน ่ าหนั
้ ้
กของอากาศแห ้ง (ไม่รวมนาหนั กไอนา)้ ตรงจุดนั้นเท่ากับ 0.88 kg/m3
ดังนั้นอัตราส่วนความชืนที
้ สภาวะดั
่ งกล่าวจะเท่ากับ 1/0.88= 9.1 gvapour/ kgDry
Air
4
รู ปที่ 3 แสดงลักษณะอากาศทีสภาวะต่
่ าง ๆ
ปริมาณไอนาสู ้ งสุดทีอากาศจะร
่ ้ จะขึน้
ับไว ้ได ้นี ก็
อยูก ่ บ
ั อุณหภูมข ่
ิ องอากาศยิงอากาศมี อณ ุ หภูมส ้ อากาศสามารถ
ิ งู จานวนใอนาที ่
่ งตามไปด ้วย
อุ ้มไว ้ได ้ก็จะยิงสู
6
รู ปที่ 6 กราฟแสดงความสัมพันธ ์ระหว่างความชืนสั
้ มพัทธ ์กับปริมาณไอนาในอากาศ
้
ตำรำงที่ 1
้ อากาศสามารถร
ความสัมพันธ ์ระหว่างปริมาณไอนาที ่ ้ มพั
ับไว ้ได ้กับอุณหภูมแิ ละความชืนสั
ทธ ์
8
2. ปริมำตรจำเพำะของอำกำศ (Specific Volume, )
ปริมาตร จาเพาะ คืออัตราส่วนระหว่างปริมาตร (Volume) ต่อมวล (Mass) ของอากาศ
มีหน่ วยเป็ นลูกบาศก ์เมตรต่อกิโลกรัม (m3/kg) ในระบบ SI
่
เป็ นทีทราบกั นดีวา่ อากาศมีคณ ุ สมบัตใิ นการขยายตัวตามอุณหภูมท ่ี
ิ ความดั นคง ที่
(Constant Pressure)
ในสภาวะความดันคงทีถ ่ ้าอุณหภูมต
ิ ่าอากาศจะมีปริมาตรจาเพาะน้อยหมายถึง
้
นาหนั กอากาศต่อหน่ วยปริมาตรจะมากในทางตรงกันข ้ามถ ้าอุณหภูมข ิ ออากาศสูงขึน้
อากาศจะขยายตัวออกทาให ้ปริมาตรจาเพาะของอากาศของอากาศมากขึน้ ซึงก็ ่ คอื นาห้
นักของอากาศต่อหน่ วยปริมาตรจะลดลงหรืออากาศเบาขึนนั ้ ่ นเอง
่
ตัวอย่างเช่นอากาศทีความดั นบรรยากาศอุณหภูมิ 15 ๐C ความชืนสั ้ มพัทธ ์ 60%
จะมีปริมาตรจาเพาะเท่ากับ 0.825 m3/kg (1.21 kg/m3) แต่ถ ้าอุณหภูมเิ ปลียนไปเป็ ่ น
่
25 ๐C ทีความชื ้ มพัทธ ์ 60% เท่าเดิม ปริมาตรจาเพาะของอากาศจะเท่ากับ 0.861
นสั
m3/kg (1.16kg/m3) จะเห็นว่าอุณหภูมเิ ปลียนไป ่ 10 ๐C
่
แต่ปริมาตรจาเพราะอากาศเปลียนไป 4.4%
ในการคานวณเราจะสามารถใช ้ค่าปริมาตรจาเพาะสาหรับหาอัตราการไหลเชิงปริมาตร
(G) หรืออัตราการไหลเชิงมวล (m) ของอากาศ
สาหร ับเส ้นแสดงปริมาตรจาเพาะทีอยู่ ใ่ นไซโครเมตริกชาร ์ตนั้นจะเป็ นเส ้นทะแย
่ ด
งจากซ ้ายไปขวา โดยเส ้นทีอยู ่ ้านล่างจะมีคา่ ปริมาตรจาเพาะน้อยและเพิมขึ ่ นเรื
้ อย ่ ๆ
่ ้านบนดังรูปที่ 7
ไปสูด
9
รู ปที่ 8 แสดงเส ้นปริมาตรจาเพาะ (Specific Volume)
3. อุณหภู ม ิ (Temperature)
่ พูดถึงอุณหภูมเิ ราจะนึ กถึงความร ้อนและความเย็นของอากาศ
เมือ
เรารู ้ว่าในห ้องปร ับอากาศจะมีความเย็นกว่ากลางแดดจ ้าในหน้าร ้อน
ในช่องแช่แข็งของตู ้เย็นจะเย็นกว่าในห ้องปร ับอากาศ
อุณหภูมน ่ งบอก
ิ อกจากจะเป็ นตัวบ่งบอกถึงความร ้อนหรือเย็นแล ้วยังเป็ นตัวทีบ่
ถึงระดับพลังงานทีมี ่ อยูใ่ นอากาศ
อากาศทีร่ ้อนย่อมจะมีพลังงานอยูใ่ นตัวเองมากกว่าอากาศทีเย็ ่ น อุณหภูมข ิ องอากาศแบ่ง
ออกเป็ นสองชนิ ดซึงมี ่ ความสัมพันธ ์กันอย่างแยกไม่ออก ซึงก็
่ คอื
รู ปที่ 9 เส ้นอุณหภูมก
ิ ระเปาะแห ้งบนแผนภูมไิ ซโครเมตริก
11
่
เทอร ์โมมิเตอร ์กระเปาะเปี ยกเคลือนที
ผ่่ านอากาศก็จะทาให ้ความชืนที
้ อยู
่ ท
่ ่ี
้ งกล่าวระเหยได ้ง่ายเพราะความชืนในอากาศมี
ผ้าชุบนาดั ้ นอ้ ย
ในกระบวนการการระเหยของความชืนของผ้ ้ ้ ติ
าชุบนาที ่ ดอยูท ่ี
่ ปลาย
เทอร ์โมมิเตอร ์แบบกระเปาะเปี ยกนั้นจะดูดความร ้อนรอบ ๆ
ตัวกระเปาะมาทาให ้ความชืนเปลี ้ ่
ยนสถานะจากของเหลวกลายเป็ นไอ
ดังนั้นจึงทาให ้อุณหภูมท ิ วั่ี ดได ้หรืออุณหภูมก
ิ ระเปาะเปี ยกจะต่ากว่าา อุณหภูมก
ิ ระเปาะแห ้ง
่
ในกรณี ทในอากาศมี
ี ความชืนอยูม ้ ่ าก
ความชืนที้ ผ้ ่ าทีหุ
่ ้มกระเปาะไว ้จะระเหยได ้ยากดังนั้นความร ้อนทีใช ่ ้ในการ
ระเหยตัวก็จะน้อยส่งผลให ้ค่าทีวั่ ดได ้จะไกล ้เคียงกับอุณหภูมก ิ ระเปาะแห ้ง
12
้
ถ ้าความชืนในอากาศน้ อยความแตกต่างของอุณหภูมก ิ ระเปาะแห ้งกับอุณหภูมิ
กระเปาะเปี ยกจะมาก
้
และถ ้าความชืนในอากาศมากความแตกต่ างของอุณหภูมท ิ วั่ี ดได ้จะน้อย
และอุณหภูมก ่ ้นอากาศอิมตั
ิ ระเปาะแห ้งกับกระเปาะเปี ยกจะเท่ากันทีเส ่ ว (Saturated
Temperature) หรือจุดทีความชื่ ้ มพัทธ ์เท่ากับ 100%
นสั
สาหร ับเส ้นอุณหภูมก ่ ใ่ นแผนภูมไิ ซโครเมตริกนั้นจะเป็ นดัง รูปที่ 11
ิ ระเปาะเปี ยกทีอยู
โดยจะเอียงทแยงจากซ ้ายไปขวาและค่าจะเพิมขึ ่ นจากน้
้ อยไปมากจากด ้านซ ้ายไปยัง
ด ้านขวา
รู ปที่ 11 เส ้นอุณหภูมก
ิ ระเปาะเปี ยกบนแผนภูมไิ ซโครเมตริก
่
เพือให ้เรานึ กภาพของอุณหภูมห ้ ้างออกให ้เรานึ กถึงหยดนาที
ิ ยดนาค ้ เกาะอยู
่ ่
้ น หรือหยดนาค
ด ้านข ้างของแก ้วนาเย็ ้ ้างทีเกาะอยู
่ ต ่ ามยอดหญ ้าในตอนเช ้าของฤดูร ้อน
ลักษณะดังกล่าวเกิดขึนได ้ ้ก็เนื่ องจากการทีอากาศที
่ ่ ความชืนสู
มี ้ งถูกลด อุณหภูมล ิ ง
ทาให ้ความสามารถในการรองร ับความชืนในอากาศที้ ่ ณหภูมต
อุ ิ ่าลดลง
13
ดังนั้นปริมาณความชืนในอากาศที
้ ่ นจากความสามารถในการรองร ับของอากาศที่
เกิ
อุณหภูมต ิ ่าลง จึงกลันตั
่ วกลายเป็ นหยดนา้
ตารางที่ 2
้ อากาศสามารถร
ความสัมพันธ ์ระหว่างปริมาณไอนาที ่ ับไว ้ได ้กับอุณหภูมค ้ มพัทธ ์
ิ วามชืนสั
และอุณหภูมห ้ ้าง
ิ ยดนาค
่ ้จากการคานวณอาจมีความคลาดเคลือนในบางค่
- ข ้อมูลในตารางเป็ นข ้อมูลทีได ่ า
14
รู ปที่ 12 แสดงการหาจุดนาค
้ ้างทีสภาวะที
่ ก ่ าหนด
5. เอลทำลปี ้ (Enthalpy)
ในทาง เทอร ์โมไดนามิกค่าเอลทาลปี ้ (Enthalpy)
่ นตัวบ่งบอกถึงระดับพลังงานของของไหลซึงรวมถึ
คือค่าทีเป็ ่ งอากาศด ้วย
่ ่ ่
ซึงเป็ นค่าพลังงานภายในของของไหลบวกกับพลังงานเนื องจากการเปลียนแปลงของ
ความดันและปริมาตร (PV) ของของไหลดังสมการ
16
รู ปที่ 13 เส ้นแสดงค่าเอลทาลปี ้
6.
่
กำรศึกษำกระบวนกำรเปลียนแปลงสภำวะของอำกำศโดยใช้ แผนภู มไิ ซโครเม
ตริก
่
ใน กระบวนการเปลียนแปลงสภาวะของอากาศแผนภู ่ อทีจะ
มไิ ซโครเมตริกจะเป็ นเครืองมื ่
่ านั้นและสามารถนามาคิดคานวณหาพลังงานและทา
ช่วยให ้เรามองการเปลียนแปลงเหล่
ให ้เรารู ้ค่าตัวแปลต่าง ๆ
่ ยนแปลงโดยไม่
ทีเปลี ่ ่
ต ้องใช ้สูตรในการคานวณให ้ยุง่ ยากโดยทีกระบวนการ
่
เปลียนแปลงต่ ่ ดขึนเราสามารถพิ
างๆทีเกิ ้ จารณาด ้วยไซโครเมตริกชาร ์ทได ้ดังนี ้
่
6.1 กระบวนกำรเพิมและลดควำมร ้อน (Heating and Cooling Process)
17
6.1.2 กระบวนกำรลดควำมร ้อน (Cooling Process)
่
คือกระบวนการทีในระหว่ างกระบวนการนั้นอุณหภูมข ่
ิ องอากาศจะลดลงทีความดันคง
่
ที เช่น ในระบบการปร ับอากาศ
่
เมือเราเริ ่ ้นเปิ ดเครืองปร
มต ่ ับอากาศก็จะทาให ้อุณหภูมใิ นห ้องปร ับอากาศค่อย ๆ
่
ลดลงทีความดั นคงที่
และผลจากกระบวนการนี ก็ ้ จะทาให ้ปริมาตรจาเพาะของอากาศจะลดลง
หรืออากาศมีความหนาแน่ นขึนและจะท ้ ้ มพัทธ ์ในอากาศมากขึนตามไป
าให ้ความชืนสั ้
ด ้วย
รู ปที่ 14 แสดงทิศทางของการลดและเพิมอุ
่ ณหภูมิ
ดังนั้นในกระบวนการปร ับอากาศของพืนที ้ ปร
่ ับอากาศ
จึงจะต ้องมีกระบวนการลดความชืนตามมาด้ ่
้วย ซึงจะกล่ าวถึงในตอนหลัง
่
เมือเราพิ จารณาในแผนภูมไิ ซโครเมตริกเราจะเห็นว่ากระบวนการลดความร ้อนของ
้ ทศ
อากาศนี จะมี ิ ทางของอุณหภูมต ิ รงกันข ้ามกับกระบวนการเพิมความร่ ้อนของอากาศ
่
โดยทีกระบวนการที ่ ดขึนนั
เกิ ้ ้นจะเริมจากสภาวะเริ
่ มต ่ ้นของกระบวนการมาในทิศ
ทางของทางเส ้นอากาศอิมตั ่ วโดยทีเส ่ ้นของกระบวนการจะขนานกับเส ้นอุณหภูมิ
กระเปาะแห ้งดังรูปที่ 14
ในส่วนของความร ้อนทีเกิ ่ ดขึนส่
้ วนใหญ่ก็เป็ นความร ้อนสัมผัสเช่นกัน
18
รู ปที่ 15 แสดงการลดความชืนโดยการลดอุ
้ ณหภูมขิ องอากาศ รูปที่ 16
แสดงวงจรลดความชืน้ (Air Dryer) ของเครืองอั
่ ดอากาศ
้
6.2.1 กำรลดควำมชืนโดยกำรลดอุ
ณหภู ม ิ (Dehumiditification by
Cooling)
รู ปที่ 17 การลดความชืนโดยใช
้ ู ความชืน้
้วัสดุดด
20
6.3.1 กำรกำรเพิมควำมชื ่ ้
นโดยกำรเติ มไอน้ ำเข้ำสู ร ่ ะบบ (Humidification by
Steam)
เมือ่ เราเติมไอนาเข้ ้าไปปะปนในอากาศ
ไอนาก็ ้ จะเจือปนอยูก ่ บั อากาศในระบบทาให ้ภายในระบบดังกล่าวมีความชืนมากขึ ้ น้
ตามทีต ่ ้องการ สาหร ับในแผนภูมไิ ซโครเมตริกชาร ์ตนั้นจะแสดงดังรูปที่
่
18 โดยทีกระบวนการจะเริ ่ อุ
มที ่ ณหภูมเิ ริมต
่ ้นและเมือไอน
่ ้ อย ๆ
าค่
เข ้าไปในระบบแล ้วความชืนในระบบจะค่้ อย ๆ
่
เพิมโดยที ่ ณหภูมก
อุ ิ ระเปาะแห ้งยังคงทีส่ ่ วนตัวแปรทีเปลี ่ ยนไปคื
่ อค่าความ
้ มพัทธ ์และอุณหภูมก
ชืนสั ิ ระเปาะเปี ยกดังรูป
เราจะสังเกตได ้ว่าเมือเราเพิ่ ่
มความชื ้ ้าไปในระบบเรือย
นเข ่ ๆ
ค่าตัวแปรหนึ่ งทีเปลี
่ ยนตามคื ่ อค่าอัตราส่วนความชืนที ้ เป็
่ นเช่นนี ก็
้ เพราะ
ว่ามวลของไอนาที ้ เราเติ
่ มเข ้าไปนั้นมากขึนนั ้ ่ นเอง
รู ปที่ 18 การเพิมความชื
่ ้
นโดยเติ ้ ้าสูร่ ะบบ
มไอนาเข
่
6.3.2 กำรเพิมควำมชื ้
นโดยกำรท ำให้อำกำศเย็นโดยกำรระเหย
(Humidification by Evaporative Cooling)
่
คือ การเพิมความชื ้
นในขณะที ท่ าการลดอุณหภูมไิ ปในเวลาเดียวกันตัวอย่างของกระบวน
้ ้เรานึ กถึงพัดลมแบบทีมี
การนี ให ่ ชอ่ งใส่นาแข็
้ งอยูท ี่ ้านหน้าของใบพัดดัง รูปที่ 19
่ ด
้
สมมติวา่ เราเอาพัดลมตัวนี ไปวางไว ้ในห ้อง
่ ดลมเริมท
เมือพั ่ างานพัดลมก็จะเป่ าทาให ้นาแข็ ้ งระเหยกลายเป็ นไอเย็นออกมาทา
ให ้อุณหภูมริ อบ ๆ พัดลมนั้นค่อย ๆ เย็นลง
แต่ขณะเดียวกันนั้นปริมาณไอนาที ้ เกิ
่ ดจากการระเหยก็จะค่อย ๆ
มากขึนท ้ าให ้ความชืนสั้ มพัทธ ์ในอากาศค่อย ๆ มากขึน้ ๆ ไปด ้วย
สาหรับกระบวนการในแผนภูมไิ ซโครเมตริกจะเป็ นไปและมีทศ ิ ทางดังรูปที่ 20
21
รู ปที่ 19 พัดลมแบบเติมนาแข็
้ ง
รู ปที่ 20 การเพิมความชื
่ ้
นแบบทาให ้อากาศเย็นโดยการระเหย
่ าวในเรืองของกระบวนการต่
จากทีกล่ ่ าง ๆ
่ ่
ของการเปลียนแปลงของอากาศทีกล่าวมาในข ้างต ้นพอจะสรุปกระบวนการต่าง ๆ
ในรูปของแผนภูมไิ ซโครเมตริกได ้ดังรูปที่ 20 ในการพิจารณาทิศทางของกระบวนการต่าง
ๆ นั้น ให ้เราพลอตทีจุ่ ดแรกของสภาวะอากาศลงในแผนภูมไิ ซโครเมตริก
จากนั้นเราก็พลอตค่าสภาวะอากาศจุดทีสองลงในแผนภู
่ มไิ ซโครเมตริก
่
เมือเราได ้
้จุดทังสองจุ ่
ดแล ้วก็จากเส ้นจากจุดแรกไปยังจุดทีสอง
22
จากนั้นเราก็ได ้เส ้นของกระบวนการทีเกิ
่ ดขึนและสามารถพิ
้ จารณาได ้ว่ากระบวน
การดังกล่าวเป็ นกระบวนการไหน
รู ปที่ 21 สรุปกระบวนการการเปลียนแปลงต่
่ าง ๆ ของอากาศ
่
เพือความเข ่
้าใจกระบวนการต่าง ๆ ของการเปลียนแปลงของอากาศมากยิ ่ น้
งขึ
จึงขอยกตัวอย่างประกอบดังนี ้
่
ตัวอย่ำง พิจารณาอากาศในห ้องทีความดั นบรรยากาศห ้องหนึ่ งทีอุ
่ ณหภูมิ 20 เซลเซียส
้ มพัทธ ์ 40% ให ้ใช ้แผนภูมไิ ซโครเมตริกหาค่าต่าง ๆ ของอากาศดังต่อไปนี ้
ความชืนสั
ก) อัตราส่วนความชืน้ (Humidity Ratio, )
ข) อุณหภูมก ิ ระเปาะเปี ยก (Wet Bulb Temperature, Tdb)
ค) อุณหภูมหิ ยดนาค ้ ้าง (Dew Point Temperature)
ง) ปริมาตรจาเพาะของอากาศ (Specific Volume)
จ) เอลทาลปี ้ หรือระดับพลังงานของอากาศ (Enthalpy, h)
จากแผนภูมไิ ซโครเมตริกรูปที่ 22
่
เมือเราทราบค่าอุณหภูมซ ่ึ นอุณหภูมก
ิ งเป็ ้ มพัทธ ์
ิ ระเปาะแห ้งและความชืนสั
ให ้เราพลอตจุดลงทีจุ่ ดตัดระหว่างเส ้นอุณหภูมก ิ ระเปาะแห ้ง 20 เซลเซียส
้ มพัทธ ์ 40% เราจะได ้จุด A ซึงเป็
และเส ้นความชืนสั ่ นจุดทีตรงกั
่ บคุณสมบัตข ิ องอากาศ ณ
จุดนั้น
23
รู ปที่ 22 แผนภูมไิ ซโครเมตริกตามตัวอย่างที่ 1
จากนั้นเราก็ทาการหาค่าต่าง ๆ ทีต
่ ้องการโดย
ก. อ ัตรำส่วนควำมชืน ้ ให ้เราลากเส ้นจากจุด A
ไปทางขวามือโดยขนานไปกับแกนของอุณหภูมก ิ ระเปาะแห ้งไปตัดกับเส ้นอัตราส่วนความ
้
ชืน(Humidity ratio, ) จากนั้นเราก็พลอทตรงจุดตัดทีจุ่ ด B
และเทียบอัตราส่วนจากจากสเกลค่าทีจุ่ ดดังกล่าวเราก็จะได ้อัตราส่วนความชืน้ เท่ากับ
0.0058 kg/kg Dry Air หรือ 5.8กรัม /kg Dry Air
24
ง. ปริมำตรจำเพำะของอำกำศ ให ้เราลากเส ้นจากจุด A
โดยขนานกับเส ้นแสดงค่าปริมาตรจาเพาะในแผนภูมไิ ซโครเมตริกจนไปตัดกับเส ้นไอ
้ มตั
นาอิ ่ วทีจุ่ ด E จากนั้นก็เทียบระยะสเกลหาค่า
้ ากับ 0.838 m3/kg
เราจะได ้ค่าปริมาตรจาเพาะตรงจุดนี เท่
สรุป
จากบทความข ้างต ้นคงทีจะท ่ าให ้
ผูอ้ า่ นได ้มีความเข ้าใจถึงคุณสมบัตข ิ องอากาศและการใช ้งานแผนภูมไิ ซโครเมตริก
บ ้างไม่มากก็นอ้ ย
้
ถึงแม้วา่ จะไม่ได ้เอาความรู ้เหล่านี ไปใช ้งานโดยตรงในงานออกแบบระบบปร ับ อากาศต่าง
ๆ แต่การทีเรามี่ ้
ความรู ้ทังในเรื ่ ณสมบัตข
องคุ ิ องอากาศและแผนภูมไิ ซโครเมตริก
ไว ้ในบางครงก็ ้ั อาจนาเอาความรู ้มาประยุกต ์
หรือวิเคราะห ์ในการแก ้ไขปัญหาทีเกิ ่ ดขึนหรื
้ อปร ับปรุงในงานทีร่ ับผิดชอบอยู่ ได ้
เอกสำรอ้ำงอิง
[1] Wilbert F/Jerold W. Jones, "REFRIGERATION & AIRCONDITIONING"
Second Edition.,McGRAWHILL
[2] Yunus A. Cengel/Michael Boles, Thermodynamics AnEngineering
Approach. Third Edition., McGRAWHILL
25